รีวิว ลองขับ LAND ROVER RANGE ROVER SPORT P510e Plug-in Hybrid ให้พละกำลังรวม 510 แรงม้า 700 นิวตันเมตร ราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 8,599,000 บาท
รีวิว ลองขับ LAND ROVER RANGE ROVER SPORT P510e MY2023
LAND ROVER RANGE ROVER SPORT P510e
กลิ่นอายของความเป็นยนตรกรรมจากเกาะอังกฤษยังคงคละคลุ้งอยู่ทั่วทั้งคันของ Range Rover Sport รุ่นปี 2023 นี่คือการปรับปรุงครั้งล่าสุดของ SUV ระดับหรูจากแบรนด์ผู้เป็นตำนานในด้านพาหนะสำหรับบุกตะลุยเส้นทางทุรกันดาร
แม้ปัจจุบันภาพลักษณ์อันบึกบึนของ Range Rover จะถูกแทนที่ด้วยความโค้งมนอ่อนช้อย ทว่าพวกเขายังคงไว้ซึ่งประสิทธิภาพแบบออฟโรดไว้อย่างครบถ้วน และยังไฮเทคอย่างมากอีกด้วย!
แน่นอนว่า Sport มีครบทุกสิ่งที่คุณคาดหวัง… กว้างขวางโอ่อ่า? เคลื่อนที่อย่างนุ่มนวล? หรูหราสง่างาม? ลูกเล่นแพรวพราว? ทั้งหมดถูกรวบรวมมาไว้ที่นี่เรียบร้อย แม้ตัวถังสีเทาจะดูไม่หวือหวา แต่รูปโฉมเคร่งขรึมและขนาดมหึมาของมันก็โดดเด่นและน่าเกรงขามอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะเมื่อนั่งอยู่ที่ตำแหน่งผู้ขับ คุณจะรู้สึกได้ถึงความกว้างขวางใหญ่โตของ Sport ได้ชัดเจน ห้องโดยสารที่เก็บเสียงได้ดีเยี่ยมและช่วงล่างนุ่มนวลชวนฝัน ช่วยให้การขับขี่ด้วยความเร็วบนมอเตอร์เวย์ดูราวกับช้าลงกว่าความเป็นจริงครึ่งต่อครึ่ง ทั้งยังทรงตัวได้มั่นคงและเปลี่ยนทิศทางได้อย่างกระฉับกระเฉงอีกด้วย
พละกำลังรวมที่มากถึง 510 แรงม้า และ 700 นิวตันเมตร จากการทำงานร่วมกับของเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 3.0 ลิตร และมอเตอร์ไฟฟ้า ก็ให้ประสิทธิภาพได้ตามที่คุณคาดหวังเช่นกัน… 0-100 กม./ชม. ใน 5.4 วินาที และความเร็วสูงสุด 242 กม./ชม. นับเป็นตัวเลขที่น่าทึ่งเมื่อเทียบกับน้ำหนักกว่า 2.7 ตันของรถ
แต่ที่น่าทึ่งยิ่งกว่าก็คือ SUV ขนาดเฉียด 3 ตันคันนี้สามารถเข้าโค้งได้ไม่ต่างจาก Hot Hatch คันจิ๋ว! ที่ Sport ทำเช่นนี้ได้ ต้องยกความดีความชอบให้กับระบบเลี้ยวล้อหลังและ Active Anti-roll bar
โดยอย่างแรกช่วยเพิ่มความเฉียบคมขณะเข้าโค้ง ในขณะที่อย่างหลังทำหน้าที่ชดเชยการเอียงตัวของรถ เมื่อรวมกับระบบ Torque Vectoring by Braking ซึ่งจะสั่งเบรกล้อหลังด้านใดด้านหนึ่ง (หรือทั้งสอง แต่ด้วยแรงเบรกต่างกัน) เพื่อรักษาสมดุลของแรงบิด ลดอาการอันเดอร์และโอเวอร์สเตียร์
ส่งให้ Range Rover คันเขื่องมีความสมดุลและให้การบังคับควบคุมที่ไว้ใจได้เมื่อขับขี่บนเส้นทางคดเคี้ยว สิ่งเดียวที่ลดทอนความสนุกในการขับขี่ลงคือระบบบังคับเลี้ยวที่แม้จะตอบสนองดี แต่ไวมากและพยายามขืนให้พวงมาลัยกลับมาตรงอยู่เสมอ เป็นเรื่องที่น่าหงุดหงิดรำคาญ และทำให้รู้สึกไม่เป็นธรรมชาติเมื่อหักเลี้ยว ทั้งขณะเข้าโค้งและเปลี่ยนเลน
ขึ้นชื่อว่าเป็นยนตรกรรมจาก Land Rover สิ่งที่ต้องมีติดตัวมาด้วยจึงหนีไม่พ้นความสามารถในการบุกป่าฝ่าดง ถ้าคุณใจถึงพอจะทนเห็น SUV ราคา 8.6 ล้านบาท ของคุณ มีรอยขีดข่วนได้ นี่คือรถซึ่งเป็นอีกครั้งที่ผมต้องบอกว่า “ไม่ทำให้คุณผิดหวัง” ด้วยระบบขับเคลื่อนสี่ล้อพร้อมเกียร์ “4Lo” อัตราทดต่ำ
พร้อมโหมดการขับเคลื่อนสำหรับผิวทางแบบต่างๆ ที่คุณสามารถเลือกได้ง่ายๆ ด้วยปลายนิ้ว และระบบช่วยเหลือต่างๆ ซึ่งรวมไปถึงระบบลุยน้ำลึก (90 ซม.) และ Off-Road Cruise Control ที่สามารถพารถค่อยๆ เคลื่อนไปข้างหน้าได้อย่างเนียนๆ ไม่ว่าจะในบ่อโคลน, เนินสลับ, ขึ้นหรือลงทางชั้น
โดยที่คุณแทบไม่ต้องไปยุ่งอะไรกับมันเลย หรือกล่าวโดยสรุปก็คือ Range Rover Sport สามารถไปได้ทุกที่ แทบไม่ต่างจาก “ตัวพ่อ” อย่าง Defender ที่เราเคยทดสอบไปก่อนหน้านี้เลยทีเดียว
และนี่คือรถที่ผมสามารถเขียนตอนจบได้ง่ายที่สุด… “ไม่ทำให้คุณผิดหวัง”
Range Rover Sport ใหม่ ใช้แพลตฟอร์ม MLA (Modular Longitudinal Architecture) ซึ่งมีความแข็งแกร่งที่สุดเท่าที่ Land Rover เคยมีมา สามารถทนการบิดตัวได้มากกว่ารุ่นที่แล้วถึง 35 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนั้น ด้วยโครงสร้าง MLA ยังเปิดทางให้สามารถออกแบบใต้ท้องรถให้ราบเรียบและมีส่วนโค้งทรงหยดน้ำสำหรับเพิ่มประสิทธิภาพการไหลของอากาศใต้รถได้ ผลลัพธ์คือแรงต้านที่ลดลงและส่งให้รถทรงตัวได้เสถียรยิ่งขึ้น ตัวถังดีไซน์ใหม่ช่วยให้ Sport มีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานต่ำกว่ารุ่นก่อนหน้านี้ถึง 15 เปอร์เซ็นต์ ผลจากการปรับองค์ประกอบเล็กๆ น้อยๆ ของตัวถังใหม่ อาทิ กระจกรอบคันที่แนบเนียนกับตัวถัง และมือเปิดประตูที่แนบสนิทกับรถ เป็นต้น ทั้งหมดนี้ทำให้ Range Rover Sport คันมหึมา มีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานเพียง 0.29 cd เท่านั้น
นี่คือไฟหน้าที่เพรียวบางที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Land Rover ไฟดวงหลักเป็นชนิด Laser Light พร้อมระบบ Adaptive Front Lighting ที่สามารถปรับรูปแบบของแสงได้อัตโนมัติตามสภาพการขับขี่ อาทิ ดับบางช่วงแสงเพื่อลดการรบกวนสายตาผู้ขับขี่รถคันอื่นๆ โดยทำดับได้สูงสุดถึง 16 วัตถุ, ปรับลดแสงช่วงที่สะท้อนกับป้ายสัญลักษณ์จราจร เพื่อลดแสงแยงตาผู้ขับ, เพิ่มความกว้างแสงเมื่อถึงทางแยกหรืออยู่ในวงเวียน เป็นต้น ไฟหน้าชุดนี้สามารถส่องสว่างได้ไกลสูงสุดถึงครึ่งกิโลเมตรทีเดียว
ชุดไฟท้ายทรงเรียวยาวใช้หลอด Super LED สีแดง เพื่อเพิ่มความสว่างและคมชัดของแสงในทุกมุมมอง มีระบบ Maneuvering Lights Assist ที่จะเปิด “พรมไฟ” โดยใช้ LED Downlight ซึ่งติดตั้งไว้ด้านข้างทั้งสองฝั่งของตัวรถ ส่องลงพื้นขณะถอยหลัง เกิดเป็นแสงที่เหมือนพรมปูพื้นรองอยู่รอบใต้ท้องรถ ช่วยเพิ่มการมองเห็นเมื่อจอดในที่มืดได้เป็นอย่างดี โดยระบบจะทำงานอัตโนมัติเมื่อเข้าเกียร์ถอยหลัง และแสดงภาพผ่านจอส่วนกลางโดยใช้กล้องรอบทิศทางแบบ 3 มิติ จำนวน 4 ตำแหน่ง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือกล้องที่ติดตั้งไว้เป็นส่วนหนึ่งของครีบบนหลังคา เลนส์กล้องเคลือบด้วยสารไฮโดรโฟบิกป้องกันน้ำและโคลนเกาะหน้าเลนส์ ให้มุมมอง 50 องศาในแนวนอน และ 9.8 องศา ในแนวตั้ง จึงปราศจากจุดอับสายตาขณะถอยหลัง และสามารถแสดงภาพผ่านกระจกมองหลังในห้องโดยสารได้อีกด้วย บันไดข้างจะกางออกอัตโนมัติเมื่อเปิดประตู และเก็บแนบสนิทไปกับใต้ท้องรถด้านข้างเมื่อไม่ได้ใช้งาน นอกจากช่วยให้ภาพรวมของรถดูสะอาดตาแล้ว ยังมีประโยชน์อีก 2 ด้านคือ ด้านอากาศพลศาสตร์จากการลดแรงต้านที่กระทำต่อบันไดแบบทั่วไป และด้านการขับขี่บนเส้นทางทุรกันดาร ซึ่งลดโอกาสที่จะเกิดความเสียหายจากการครูดหรือกระแทกพื้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อขับขี่ผ่านเนินสูงๆ หรือเนินสลับ
คันทดสอบของเราเป็นเกรด ‘Dynamic’ ซึ่งตกแต่งพิเศษยิ่งขึ้นด้วยล้อ, กระจังหน้า และตัวอักษรรอบคันสี Matte Graphite Atlas ในขณะที่ช่อง (หลอกๆ) บนฝากระโปรงและแก้มข้างตกแต่งด้วยสี Satin Burnished Copper ร่วมด้วยกันชนหน้าและหลังที่แตกต่างจากเกรดอื่นๆ
เครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบเรียง 3.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุดที่ราว 370 แรงม้า ให้ประสิทธิภาพดีเยี่ยม ขับสนุก แม้ขณะที่ต้องทำงานเพียงลำพังเมื่อแบตเตอรี่ของมอเตอร์ไฟฟ้าหมดไปแล้วก็ตาม การทำงานราบเรียบและแทบไม่มีเสียงเครื่องยนต์ผ่านเข้ามาให้ได้ยินในห้องโดยสาร จนคุณแทบแยกไม่ออกว่าขณะนั้นๆ รถกำลังใช้เครื่องยนต์หรือวิ่งด้วยไฟฟ้าล้วน เช่นเดียวกับการสลับไปมาระหว่างแหล่งพลังงานทั้งสองที่ไร้รอยต่อ แน่นอนว่าเป็นเรื่องน่าเสียดายที่เราไม่ได้ยินเสียงคำรามผ่านท่อไอเสียหน้าตาดุดันของรถ Range Rover Sport คือหนึ่งในรถยนต์ PHEV เพียงไม่กี่รุ่นในโลกที่มาพร้อมกับความสามารถในการชาร์จ DC นั่นหมายถึง เมื่อชาร์จด้วยกำลัง 50kW คุณจะใช้เวลาเพียงไม่ถึง 30 นาที เพื่อประจุแบตเตอรี่ขนาด 38.2kWh (ใช้ได้จริง 31.8kWh มากกว่ารุ่นก่อนหน้านี้เกือบ 3 เท่า) จาก 0-80% ในขณะที่การชาร์จด้วย AC Wallbox ขนาด 7.2kW ก็ใช้เวลาต่ำกว่า 5 ชั่วโมง คุณสามารถขับด้วยโหมด EV ได้ระยะทางสูงสุด 125 กม. และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 140 กม./ชม. ซึ่งหมายความว่า คุณสามารถแซงซูเปอร์คาร์อย่าง Ferrari SF90 ราคากว่า 40 ล้านบาท ได้ที่ความเร็วปลาย (SF90 ทำได้ 135 กม./ชม.) เมื่อวิ่งด้วยโหมด EV ทั้งคู่… เจ๋งมั้ยล่ะ?
ขุมพลังไฮบริดของ Sport ทำงานร่วมกับชุดเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ที่ผลิตโดย ZF สามารถเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ขึ้นลงได้นุ่มนวล และมีอัตราทดที่ค่อนข้างกว้าง จึงให้อัตราเร่งต่อเนื่องตั้งแต่ออกตัวจนถึงความเร็วสูงสุด นอกจากนั้น ยังมาพร้อมกับชุดเกียร์ขับเคลื่อนสี่ล้ออัตราทดต่ำ ‘4Lo’ สำหรับการบุตะลุย ร่วมด้วยระบบล็อคเฟืองท้ายชุดกลาง (ส่งกำลังไปยังล้อคู่หน้าและหลัง 50:50) และล็อคเฟืองท้ายล้อคู่หลัง (ล้อหลังซ้ายและขวา หมุนด้วยแรงเท่ากันตลอดเวลา) โดยเหล่านี้ทำงานอัตโนมัติตามโหมดการขับขี่ที่ผู้ขับเลือก หรือสามารถเข้าเกียร์ Lo และสั่งล็อคเฟืองท้ายทั้งสองได้เอง จากปุ่มบนคอนโซลกลาง และ/หรือ จอแสดงผลส่วนกลาง
ไฮไลท์ของ Land Rover หนีไม่พ้นเรื่องสมรรถนะแบบออฟโรด และใน Sport ก็มาพร้อมกับโหมดขับเคลื่อนหลากหลายเช่นกัน… Terrain Response 2 ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นอัพเกรดจากรุ่นก่อนหน้านี้ สามารถตรวจจับและปรับเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนให้เหมาะสมกับสถานการณ์และสภาพแวดล้อมได้ ระบบนี้จะทำงานร่วมกับช่วงล่างถุงลมและระบบเลี้ยวสี่ล้อ ซึ่งจะปรับตั้งค่าแตกต่างกันออกไปตามโหมดที่ผู้ขับเลือกผ่านจอแสดงผลส่วนกลาง หรือปุ่มหมุนบนคอนโซลที่เพียงแค่กดลงไป 1 ครั้ง เพื่อออกจากโหมด Auto และปุ่มจะยกตัวขึ้น เพื่อให้ผู้ขับหมุนเลือกรูปแบบการขับเคลื่อนที่ต้องการ จากนั้นระบบจะปรับตั้งค่าต่างๆ ทั้งของระบบบังคับเลี้ยว, ระบบส่งกำลัง, ระบบควบคุมการยึดเกาะ, เฟืองท้าย และช่วงล่าง ให้อัตโนมัติ ล้อขนาด 21 นิ้ว สี Matte Graphite Atlas เข้าชุดกับการตกแต่งอื่นๆ ของเกรด Dynamic ระบบเบรกใช้เทคโนโลยี Brake-by-wire ที่ตอบสนองรวดเร็วและให้สัมผัสเป็นธรรมชาติทีเดียว พร้อมระบบ Active Brake Cooling ที่จะเปิดช่องรับอากาศเข้ามาเป่าเบรกเมื่อระบบมีอุณหภูมิสูง ใช้ช่วงล่างถุงลม ‘Dynamic Air Suspension’ ซึ่งภายในถุงลมถูกแบ่งเป็น 2 ห้องกักเก็บอากาศ โดยใช้วาล์วควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อบริหารจัดการกับแรงดันอากาศให้เหมาะสมกับสภาพถนนตลอดเวลา นอกจากนั้นยังมีระบบควบคุมการเอียงตัวของรถ ที่ทำงานโดยใช้เหล็กกันโคลงแบบปรับระดับความแข็งอ่อนด้วยตัวควบคุมอัตโนมัติซึ่งใช้กำลังไฟ 48 โวลต์ สร้างแรงบิดได้สูงสุด 1,400 นิวตันเมตร ในแต่ละด้านของเหล็กกันโคลง เพื่อสร้างแรงต้านขณะรถเอียงตัวไปฝั่งนั้นๆ นอกจากนี้ ระบบยังสามารถปลดเหล็กกันโคลงช่วยเพิ่มระยะเดินทางของช่วงล่างเมื่อขับขี่แบบออฟโรดได้อีกด้วย อีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญของรถยนต์ตัวลุยจาก Land Rover คือระบบ Adaptive Off-Road Cruise Control ความน่าทึ่งอยู่ที่มันสามารถควบคุมความเร็วอัตโนมัติตามสภาพเส้นทาง ด้วยการใช้ระบบวิเคราะห์การเอียงตัวรถในมุมและองศาต่างๆ เพื่อปรับความเร็วของรถให้เหมาะสมตลอดเวลา นั่นหมายถึง บนเส้นทางทุรกันดาร ผู้ขับสามารถมุ่งสมาธิไปที่การควบคุมพวงมาลัยเพียงอย่างเดียวได้ โดยปล่อยให้ระบบควบคุมความเร็วเป็นผู้ทำหน้าที่ขับเคลื่อนรถไปข้างหน้า ระบบนี้ยังทำงานควบคู่กับโหมดลุยน้ำ ‘Wade Mode’ ที่จะปิดช่องรับอากาศเข้าห้องโดยสารและยกช่วงล่างขึ้นระดับสูงสุด ขณะที่ Adaptive Off-Road Cruise Control จะควบคุมความเร็วที่เหมาะสมอัตโนมัติเพื่อไม่ให้คลื่นน้ำสูงจนเป็นอันตรายต่อรถ (ลุยน้ำได้สูงสุด 90 ซม.) ระบบบังคับเลี้ยวคือตำหนิเดียวของ Range Rover Sport จริงอยู่ที่มันให้น้ำหนักเหมาะสม, ตอบสนอง และแม่นยำ ทว่ามันพยายามขืนกลับ (ให้รถวิ่งตรง) อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะขับขี่ด้วยโหมดใดก็ตาม ดีไซน์เรียบง่ายของห้องโดยสาร ให้ความรู้สึกสงบสุขและผ่อนคลาย ขณะที่เหลี่ยมสันต่างๆ ช่วยเน้นย้ำความบึกบึนของรถสำหรับการบุกป่าฝ่าดง สิ่งที่น่าประทับใจคือการเก็บเสียงในห้องโดยสาร ซึ่งต้องยกความดีความชอบให้กับระบบ Active Noise Cancellation ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชุดเครื่องเสียง Meridian Signature Sound System ทำงานโดยตรวจจับเสียงที่เกิดจากทั้งการขยับของโครงสร้างตัวถังและเสียงลมที่ดังอยู่ในซุ้มล้อทั้งสี่ จากนั้นระบบจะสร้างสัญญาณเสียงเพื่อหักล้างกับเสียงรบกวนที่เกิดขึ้น โดยส่งเสียงผ่านลำโพงทั้ง 29 ตัวของรถ สามารถตัดเสียงได้ถึงความถี่สูงสุดที่ 1kHz ก่อนเสียงเหล่านั้นจะดังมาถึงหูผู้โดยสาร นั่นหมายถึง ระบบนี้ทำงานได้เร็วกว่าความเร็วเสียง จึงสกัดเสียงรบกวนได้ก่อนที่เราจะได้ยินนั่นเอง นอกจากนั้น เมื่อเลือกโหมด ‘Dynamic’ ระบบตัดเสียงรบกวนจะลดระดับการแทรกแซงลง เพื่อให้ผู้โดยสารได้เร้าใจไปกับเสียงคำรามของเครื่องยนต์และท่อไอเสีย… ซึ่งก็ยังแทบไม่ได้ยินอยู่ดี…
จอแสดงผลขนาด 13.7 นิ้ว ความคมชัดสูง สำหรับผู้ขับ ติดตั้งแบบกึ่งลอยตัวเพื่อให้มีดีไซน์สอดคล้องกับจอส่วนกลาง สามารถเรียกดูข้อมูลต่างๆ ได้ครบถ้วน และเปลี่ยนรูปแบบการแสดงผลได้หลากหลายมากๆ คุณสามารถควบคุมและสั่งการได้ผ่านสวิตช์ระบบสัมผัสที่ก้านพวงมาลัยฝั่งซ้ายมือ นอกจากนั้น ยังมาพร้อมกับ Head-up Display ที่ให้ความคมชัดระดับ HD สามารถเลือกแสดงข้อมูลได้มากมาย อาทิ การนำทาง, ตำแหน่งเกียร์ เป็นต้น จอแสดงผลส่วนกลางมีขนาด 13.1 นิ้ว ระบบสัมผัสพร้อมการตอบสนองแบบ Haptic เป็นส่วนหนึ่งของระบบอินโฟเทนเมนต์ ‘Pivi Pro’ ที่ออกแบบให้การใช้งานของระบบต่างๆ กว่า 90% สามารถเสร็จสิ้นได้ด้วยการแตะ (หน้าจอ) ไม่เกิน 2 ครั้ง จากหน้า Home เมื่อรวมกับการตอบสนองแบบ Haptic จึงลดโอกาสที่ผู้ขับจะเสียสมาธิและไม่ต้องละสายตาจากถนนนานๆ ที่สำคัญคือ มาพร้อมกับ ‘Amazon Alexa’ ซึ่งรวมไว้ในระบบ Pivi Pro เรียบร้อยแล้ว นั่นหมายถึง คุณสามารถสั่งงานด้วยเสียงผ่าน Alexa ได้โดยไม่ต้องต่อ (หรือผ่าน) สมาร์ทโฟนให้ยุ่งยาก ชุดเครื่องเสียงสุดพรีเมี่ยมจาก Meridian มาพร้อมระบบ 3D Surround Sound ด้วยลำโพงทั้งหมด 19 ตัว (รวมซับวูฟเฟอร์) และแอมป์กำลังขับสูงถึง 800 วัตต์ ร่วมด้วยชุดลำโพงฝังรวมอยู่ในพนักพิงศีรษะของผู้โดยสาร เพื่อเพิ่มความสมจริงของเสียงขึ้นไปอีกขั้น ลำโพงทั้งหมดได้รับการพัฒนาขึ้นอย่างพิถีพิถัน ในขณะที่ลำโพงซึ่งติดตั้งไว้ส่วนบนของแผงประตูก็ใช้วัสดุแบบเดียวกับที่ใช้อยู่ในลำโพงบ้านระดับ Hi-end จึงช่วยส่งผ่านเสียงคุณภาพสูงยิ่งขึ้น ระบบกรองอากาศ ‘Cabin Air Purification Pro’ มาพร้อมกับระบบกรอง PM2.5 และเทคโนโลยี ‘nanoe X’ ระบบปรับสภาพอากาศนี้ ทำงานโดยควบแน่นความชื้นจากอากาศในห้องโดยสารมาแตกออกเป็นอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้า จนเกิดเป็นอนุมูลไฮดรอกซิล (HO) ขึ้นในโมเลกุลของละอองน้ำระดับนาโน เพื่อทำปฏิกิริยากับสารปนเปื้อนในอากาศ เมื่อใช้งานเกิน 30 นาที ระบบสามารถกำจัดไวรัส แบคทีเรีย และมลพิษ ได้มากถึง 97% ขณะที่เทคโนโลยี nanoe X กำจัดเชื้อ Covid-19 ได้มากกว่า 99% ระบบกรองอากาศ ‘Cabin Air Purification Pro’ มาพร้อมกับระบบกรอง PM2.5 และเทคโนโลยี ‘nanoe X’ ระบบปรับสภาพอากาศนี้ ทำงานโดยควบแน่นความชื้นจากอากาศในห้องโดยสารมาแตกออกเป็นอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้า จนเกิดเป็นอนุมูลไฮดรอกซิล (HO) ขึ้นในโมเลกุลของละอองน้ำระดับนาโน เพื่อทำปฏิกิริยากับสารปนเปื้อนในอากาศ เมื่อใช้งานเกิน 30 นาที ระบบสามารถกำจัดไวรัส แบคทีเรีย และมลพิษ ได้มากถึง 97% ขณะที่เทคโนโลยี nanoe X กำจัดเชื้อ Covid-19 ได้มากกว่า 99% เบาะนั่งแบบปรับไฟฟ้า 22 ตำแหน่ง มาพร้อมกับระบบทำความ ร้อน/เย็น และระบบนวด การจัดวางตำแหน่งขับขี่ที่ Land Rover เรียกว่า ‘Command Driving Position’ ทำให้มีทัศนวิสัยที่ดีเยี่ยมและสามารถบังคับควบคุมรถได้อย่างมั่นใจ ในขณะเดียวกัน ก็ยังให้สัมผัสแบบรถสปอร์ตจากการจัดวางเบาะต่ำลงกว่ารุ่น Range Rover ตัวถังมาตรฐาน 20 มม., คอนโซลกลางที่หันเข้าหาผู้ขับ, พวงมาลัยขนาดเล็กกว่า และเสา A กับหลังคาที่ลาดเอียงกว่า อย่างไรก็ตาม หลังคาที่ต่ำลงก็ไม่ทำให้ผู้โดยสารเบาะหลังได้รับผลกระทบแต่อย่างใด เนื่องจากในรถรุ่นใหม่นี้ มีการยกหลังคาบริเวณเบาะหน้าให้สูงขึ้น 11 มม. เพื่อความรู้สึกโปร่งโล่งของผู้นั่งตอนหลัง, มีพื้นที่วางขาเพิ่มขึ้น 31 มม. และที่ว่างช่วงเข่าเพิ่มอีก 17 มม. พื้นที่เก็บสัมภาระมีรูปทรงที่ช่วยให้ใช้งานได้หลากหลายขึ้น พื้นที่บรรทุกสัมภาระอยู่ที่ 835 ลิตร และเพิ่มเป็น 1,860 ลิตร หากพับเบาะหลัง ซึ่งสามารถทำได้ง่ายดายเพียงกดปุ่มที่ติดตั้งไว้บริเวณกรอบประตูท้าย นอกจากนั้น ยังสามารถสั่งลดความสูงของช่วงล่างหลังได้ เพื่อการขนสัมภาระเข้าออกที่สะดวกยิ่งขึ้น
LAND ROVER RANGE ROVER SPORT P510e
Price: from ฿8,599,000
Engine: 2996cc petrol inline-6 turbo with e-motor, 510hp, 700Nm (Combine)
Transmission: 8-speed automatic, all-wheel drive
Performance: 5.4sec 0-100km/h, 242 km/h top speed, 37g/km Co2
Weight: 2735kg
TorqueThailand.com
