Breaking News

รีวิวทดสอบรถ Mitsubishi Xpander GT ผลงานดีไซน์แบบ “Omotenashi”

รีวิวทดสอบรถ Mitsubishi Xpander GT ผลจากงานดีไซน์แบบ “Omotenashi” ที่หมายถึง ความเรียบง่าย ทันสมัย และให้ประโยชน์ใช้สอยได้สูงสุด

รีวิวทดสอบรถ Mitsubishi Xpander GT-1.jpg
Mitsubishi Xpander GT

รีวิวทดสอบรถ Mitsubishi Xpander GT ผลงานดีไซน์แบบ “Omotenashi”

อีกหนึ่งกระแสแรงจากแบรนด์ Mitsubishi ที่ Torque Magazine ไม่เอามา “ลองขับ” รับรองว่า “ตกเทรนด์” แน่นอน กับ All New Xpander รถอเนกประสงค์รุ่นล่าสุด และเป็นตัวเลือกที่ 2 สำหรับเหล่าสาวกแบรนด์ Mitsubishi

สำหรับ All New Xpander ที่เราเรียกว่าเป็นรถอเนกประสงค์ทางเลือกที่ 2 ก็เพราะว่า ในกลุ่มโปรดักส์ของแบรนด์ Mitsubishi ที่ทำตลาดอยู่ในเมืองไทยนั้น หลัก ๆ ก็จะมี Eco Car 2 รุ่น คือ Mirage และ Attrage ตามมาด้วยรถปิกอัพอย่าง Triton และรถอเนกประสงค์ 1 เดียว คือ Pajero Sport ก่อนที่จะเข็น All New Xpander ในฐานะของรถอเนกประสงค์ออกมาเป็นอีก 1 ทางเลือกใหม่ สำหรับผู้บริโภคชาวไทย

รีวิวทดสอบรถ Mitsubishi Xpander GT-3.jpg
Mitsubishi Xpander GT
รีวิวทดสอบรถ Mitsubishi Xpander GT-4.jpg
Mitsubishi Xpander GT

โดย All New Xpander นั้นจะมากับความโดดเด่น ภายใต้คอนเซ็ปต์ “นิยามใหม่ของครอสโอเวอร์” ซึ่งทำตลาดด้วย 2 รุ่นย่อยมาตรฐาน คือ

  1. รุ่น GLS-LTD ราคา 779,000 บาท
  2. รุ่นท็อปสุด GT ราคา 849,000 บาท

ในวันนี้ รุ่นที่เรามาทดสอบ เป็นรุ่นท็อป GT ด้านรูปลักษณ์ภายนอก นำเสนอแนวคิด Advanced Dynamic Shield อันเป็นจุดเริ่มต้นของงานดีไซน์ใหม่จากค่าย Mitsubishi ที่มีการออกแบบมุมมองด้านหน้าให้มีลักษณะคล้าย “โล่ห์” เพื่อสื่อถึงการปกป้องคุ้มครองผู้ขับขี่ และผู้โดยสาร รวมถึงบุคคลภายนอกรถ ผสมผสานด้วยการใส่ออฟชันมาให้อย่างครบเครื่องตามมาตรฐานรุ่นท็อป GT เช่น ชุดไฟหน้าแบบมัลติรี-เฟล็กเตอร์ แบบฮาโลเจน, ชุดไฟหรี่แบบ Crystal LED, ไฟตัดหมอกหน้า ตามด้วยการยกระดับความหรูหราด้วยมือจับเปิดประตู และคิ้วขอบกระจกแบบโครเมียม ตลอดจนคิ้วด้านข้างตัวรถสีเงิน

ส่วนด้านหลังเสริมความปลอดภัยด้วยแผ่นสะท้อนแสง, ชุดไฟท้ายเป็นแบบ LED L-Illumination Tube ดีไซน์หรู พร้อมไฟเบรกแบบแยกส่วน พร้อมการติดตั้งสปอยเลอร์พร้อมไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED ในขณะที่ด้านข้างติดตั้งกระจกมองข้างปรับ และพับไฟฟ้า พร้อมไฟเลี้ยวแบบ LED และล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว แบบสีทูโทน มาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
โดยทั้งหมดจะอยู่ภายใต้การกำหนดมิติตัวถังไว้ที่ความยาว 4,475 มม. ความกว้าง 1,750 มม. ความสูง 1,700 มม. พร้อมระยะฐานล้อ 2,775 มม. และการตอกย้ำความชัดเจนของฐานะยนตรกรรม Crossover ด้วยความสูงใต้ท้องรถที่มีถึง 205 มม.

รีวิวทดสอบรถ Mitsubishi Xpander GT-5.jpg

รีวิวทดสอบรถ Mitsubishi Xpander GT-6.jpg

รีวิวทดสอบรถ Mitsubishi Xpander GT-7.jpg

รีวิวทดสอบรถ Mitsubishi Xpander GT-11.jpg

รีวิวทดสอบรถ Mitsubishi Xpander GT-8.jpg

รีวิวทดสอบรถ Mitsubishi Xpander GT-9.jpg

สำหรับภายในห้องโดยสารนั้นตอบโจทย์ได้ทุกไลฟ์สไตล์การใช้งานด้วยความกว้างขวาง พร้อมรองรับผู้โดยสารได้ในแบบ 3 แถว 7 นั่ง และสามารถปรับพับเบาะเพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระได้อย่างสะดวกสบายจากเบาะนั่งแถวที่ 3 แบบ 50:50 และแถวที่ 2 แบบ 60:40

นอกจากนี้ยังมีการสอดแทรกรายละเอียดต่าง ๆ เช่น ช่องเก็บของมากมาย รวมไปถึงตำแหน่งการวางที่เอื้ออำนวยให้หยิบจับใช้สอยได้อย่างสะดวก อันเป็นผลจากงานดีไซน์ตามหลัก Omotenashi ที่หมายถึง “ความเรียบง่าย ทันสมัย แต่ให้ประโยชน์ใช้สอยได้สูงสุด”

ส่วนอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบายที่ติดตั้งมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานนั้น จะประกอบด้วย หน้าจอแสดงผลข้อมูลอเนกประสงค์แบบ 3 มิติ TFT ขนาด 4.2 นิ้ว, พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นหุ้มหนัง พร้อมสวิตช์ควบคุมการสั่งงานด้วยเสียง และปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์ ตลอดจนระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control และระบบปรับอากาศทั้งตอนหน้า และสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง

ในขณะที่ระบบความบันเทิงนั้นมากับหน้าจอขนาด 6.2 นิ้ว ที่สามารถควบคุมได้ง่ายดายจากระบบสัมผัสที่หน้าจอ และจากบนพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น ซึ่งรองรับ DVD/MP3 และรองรับระบบการเชื่อมต่อโทรศัพท์แบบไร้สาย รวมถึงกล้องมองภาพด้านหลังขณะถอยจอด ตลอดจนช่องจ่ายกระแสไฟฟ้า DC 12 โวลต์ ที่มีมาให้มากถึง 3 ตำแหน่งเลยทีเดียว

เครื่องยนต์เบนซินพิกัด 1.5 ลิตร ถูกเลือกมาประจำการใน All New Xpander พร้อมด้วยการพัฒนายกระดับประสิทธิภาพขึ้นใหม่ในหลายองค์ประกอบ เช่น ระบบวาล์วแปรผันไอดี MIVEC (Mitsubishi innovative Valve Timing Electronic Control System) ไปจนถึงความสามารถในการรองรับเชื้อเพลิงได้ตั้งแต่เบนซินเกรดปกติ 91, 95 ไปจนถึง แก๊สโซฮอล์ E20 โดยจะมีพละกำลังสูงสุด 105 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิดสูงสุด 141 นิวตันเมตรที่ 4,000 รอบต่อนาที

ระบบพวงมาลัยเป็นแบบแร็คแอนด์พิเนี่ยน พร้อมเพาเวอร์ควบคุมแบบไฟฟ้า ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด พร้อมระบบ INC (Idle Neutral Control) เพื่อขับเคลื่อนล้อหน้า โดยมีระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท คอยล์สปริง และเหล็กกันโคลง พร้อมกับติดตั้งเหล็กค้ำหัวโช๊ค เพื่อเพิ่มความเฉียบคมในการควบคุม ส่วนด้านหลังกับช่วงล่างแบบทอร์ชั่นบีม ที่มีการปรับเซ็ทใหม่ โดยเน้นไปในเรื่องความแข็งแกร่งทนทานต่อทุกรูปแบบการขับขี่

ซึ่งในช่วงที่ Mitsubishi จัดงานใหญ่ Group Test ทั่วไทย ด้วยเส้นทางเหนือจรดใต้ หลากหลายเส้นทางก็ถือเป็นบททดสอบแรกที่ Xpander ทำผลงานออกมาได้อย่างดี โดยเฉพาะในเส้นทางที่เป็นกึ่ง Off-Road นิด ๆ เพราะฉะนั้นเราคงไม่ต้องตอกย้ำซ้ำเป็นครั้งที่ 2 เพราะด้วยความเชื่อเหลือเกินว่าสาวก Mitsubishi ทั่วเมืองไทย ส่วนใหญ่น่าจะถอยไว้ใช้งานในชีวิตประจำวันมากกว่า ฉะนั้นในการลองขับครั้งนี้จึงเน้นไปที่การใช้งานแบบทั่ว ๆ ไป และการแวบไปใช้ความเร็วเบา ๆ บนเส้นทางนอกเมือง หรือ พูดง่าย ๆ ก็เส้นทาง On-Road เป็นส่วนใหญ่นั่นเอง

เราเริ่มต้นการทดลองขับแบบใช้งานในชีวิตประจำวันกันตั้งแต่ช่วงสาย ๆ กลางสัปดาห์ หลังจากรับมอบรถ ส่วนสภาพการจราจรก็เป็นไปตามสภาพที่มีติดขัด สลับกันไปกับความคล่องตัวบางช่วง เพื่อลิ้มรสอารมณ์ของพนักงานออฟฟิศแบบเต็มคราบ ซึ่งบอกเลยว่า Xpander สามารถตอบโจทย์ได้สบาย ๆ แบบไม่ขี้เหร่ ด้วยขุมพลังเบนซิน 1.5 ลิตร 104 แรงม้า และแรงบิด 141 นิว ตันเมตรที่ต้องบอกว่า “เพียงพอ” สำหรับการใช้งาน

และที่ต้องยอมรับถึงความประทับใจเลยก็คือ เรื่องของระบบพวงมาลัย ที่เบาแรง และคล่องตัวในความเร็วต่ำ ทำให้การเคลื่อนตัวในภาพการจราจรแน่นหนา ต้องขยับย้ายเปลี่ยนเลนบ่อยครั้ง สามารถทำได้อย่างไร้ที่ติ และทำให้การขับขี่ในเมืองดูจะไม่เป็นเรื่อง “น่าเบื่อ” รวมไปถึงปัจจัยที่เอื้ออำนวยให้ผู้ขับขี่สามารถใช้ความคล่องตัวได้อย่างเต็มความสามารถก็คือ ตำแหน่งความสูง ที่ช่วยให้มีทัศนวิสัยโปร่ง มองเห็นได้ไกล ช่วยให้ประเมินสถานการณ์ล่วงหน้าได้ดี

ต่อมาอารมณ์ของการใช้งานขณะเดินทางไกล ซึ่งเป็นเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นที่คุณจะได้สัมผัสความสบายเต็มที่ แต่ต้องแนะนำสักนิดว่า “อย่าใจร้อน” เพราะเครื่องยนต์พิกัดเล็ก เรี่ยวแรงพอประมาณคงไม่อาจตอบสนองพวก “เท้าหนัก” ที่ต้องการอัตราเร่งแบบพรวดพราดได้อย่างเต็มเม็ด เต็มหน่วย ซึ่งถ้าจะให้พูดถึงสไตล์การขับขี่ที่เหมาะ เราว่าน่าจะลงตัวกับวิธีการขับรถเกียร์ CVT ดูจะลงตัวที่สุด เพราะคุณจะได้สัมผัสการเปลี่ยนเกียร์อย่างนุ่มนวล แบบไร้อาการสะดุด จนบางครั้งเผลอนึกไปว่าเป็นเกียร์ CVT ด้วยซ้ำ ตามด้วยน้ำหนักพวงมาลัยที่ให้ความคล่องตัวในความเร็วต่ำ ก็กลับเริ่มแปรผันให้หน่วงหนักขึ้นไปตามระดับความเร็วที่ใช้อย่างเหมาะสม

ฉะนั้นบนย่านความเร็วสูง คุณจะรู้สึกได้ถึงความมั่นคงในการขับขี่ โดยมีระบบช่วงล่างที่ถือเป็นอีกหนึ่งจุดเด่น ด้วยการมอบให้ทั้งความนุ่มนวล และเสถียรภาพบนความเร็วสูงได้อย่างยอดเยี่ยม พร้อมด้วยอารมณ์ความสปอร์ตเล็ก ๆ ที่สื่อสารออกมาให้สัมผัส ในชั่วขณะที่คุณเล่นสนุกไปกับ “ทางโค้ง” อีกด้วย

ส่วนสุดท้ายในเรื่องของความปลอดภัย กับ Xpander ในฐานะของรถครอบครัวอเนกประสงค์ 7 ที่นั่ง ซึ่งบ่อยครั้งต้องพกพาสมาชิกติดสอยห้อยตามไปด้วย เค้าก็ใส่มาให้อย่างครบครัน เพื่อสร้างความมั่นใจในการขับขี่ทุกเส้นทาง นับตั้งแต่โครงสร้างตัวถังแบบ RISE BODY ที่ใช้เหล็กกล้าทนแรงดึงสูง High Tensile Steel เสริมด้วย Strut Tower Bar ขนาดใหญ่ และคาน Cross Member ตามด้วยการติดตั้งคานกันกระแทกด้านข้างบริเวณแผงประตู Side Door Impact Beam และการออกแบบมุมด้านหน้ารถให้ช่วยลดความรุนแรงจากการปะทะกับคนเดินถนน (Pedestrian Protection)

พร้อมด้วยเทคโนโลยีต่าง ๆ เช่น ถุงลมนิรภัยคู่หน้าทำงานร่วมกับเข็มขัดนิรภัยแบบดึงกลับ และผ่อนแรงอัตโนมัติ, ระบบเบรกแบบด้านหน้าดิสก์ และด้านหลังดรัม ที่มาพร้อมระบบป้องกันล้อล็อก ABS, ระบบกระจายแรงดันน้ำมันเบรก EBD, ระบบเสริมแรงเบรก BA, ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ASC, ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล TCL และระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAS รวมไปถึงการติดตั้งฟังก์ชัน ETACS (Electronic Time And Alarm Control System) ซึ่งเป็นระบบอำนวยความสะดวก และความปลอดภัยอัจฉริยะมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน

และทั้งหมด คือ คุณสมบัติของ Xpander ที่มองในภาพรวมแล้ว ถือเป็นอีกหนึ่งความคุ้มค่า หากใครต้องการยนตรกรรมที่สามารถตอบโจทย์ได้ทุกความต้องการ โดยเฉพาะในรุ่นท็อปอย่าง GT ค่าตัว 849,000 บาท ที่มาแบบจบ ๆ ของครบ พร้อมใช้ โดยไม่ต้องไปใส่อะไรเพิ่มเติม

รีวิวทดสอบรถ Mitsubishi Xpander GT-10.jpg
Mitsubishi Xpander GT

Specification : Mitsubishi Xpander GT

  • Price  :  849,000 BHT
  • Engine  :  1,499 CC / MIVEC / 4 Cylinder / 16 Valve 105 hp @ 6,000 rpm / 141 Nm @ 4,00 rpm
  • Transmission  :  4A/T / Front Wheel Drive
  • Performance  :  0 – 100 Km/h @ N/A, Top Speed @ N/A
  • Weight  :  N/A

Check Also

All New MG3 Hybrid+ 2025

รีวิว ลองขับ All New MG3 Hybrid+ ไฮบริดเจเนอเรชั่นใหม่ที่ทั้งแรง แต่แอบประหยัดจนน่าทึ่ง

รีวิว ลองขับ All New MG3 Hybrid+ ให้กำลังรวม 194 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 8 วินาที …