Breaking News

Mercedes-AMG GTS YELLOW BULLET

 

 

NormalFile_0031ยนตกรรมทุกคันล้วนมีความโดดเด่นและสวยงามในมุมที่ต่างกัน ซึ่งในบรรดายนตกรรมที่ถูกสรรสร้างขึ้นมาคงต้องยกความสวยงามให้กับยนตกรรมที่เรียกว่า ซูเปอร์คาร์ ด้วยการออกแบบของทรวงทรงที่ดึงดูดใจ สมรรถนะที่ทรงพลัง จึงทำให้ผู้คนนั้นต้องหลงใหลในซูเปอร์คาร์แทบทุกแบรนด์ เฉกเช่น Mercedes-AMG GT S อีกหนึ่งยนตกรรมที่โดดเด่นซึ่งทาง บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย จำกัด  ได้นำเข้ามาจำหน่ายให้ผู้สนใจ ด้วยค่าตัวเกือบ 15 ล้านบาท แต่ไม่สำคัญเท่ากับการอนุมัติไฟเขียวจากผู้บริหาร ทำให้สื่อมวลชนมีโอกาสได้ทดสอบ  Mercedes-AMG GT S โดยไม่ต้องมีรถตามหรือมีคนนั่งประกบแบบหลายๆ ค่ายซูเปอร์คาร์ทำกัน ซึ่งข้อดีคือทำให้เราสามารถทดสอบได้อย่างเต็มที่และไม่ต้องระแวงให้ปวดหัว ซึ่งด้วยราคารถที่สูงขนาดนี้ทุกสื่อก็ให้ความระมัดระวังอย่างเต็มที่อยู่แล้ว

Mercedes-AMG GT S ได้รับการออกแบบให้มีรูปทรงโค้งมนพริ้วไหวไปในทุกส่วน ซึ่งด้วยรูปทรงที่มีความคล้ายคลึงกับ Mercedes-SLS แต่ไม่สามารถเปิดประตูเป็นปีกนกได้นั่นเอง แค่นี้ก็เพียงพอสะกดทุกสายตา นอกจากนี้รถคันนี้ยังมากับสีเหลืองพิเศษ  โดดเด่นด้วยกระจังหน้าแบบ Black Diamond พร้อมด้วยสัญลักษณ์ดาวสามแฉกของ Mercedes-Benz ที่จะขาดไม่ได้ในรถทุกรุ่นของค่ายนี้  การออกแบบรถคันนี้จะมีส่วนหน้าที่ค่อนข้างยาวเป็นพิเศษ และมีท้ายที่สั้นมาก ซึ่งเพิ่มความคล่องตัวในการขับขี่ได้ดีทีเดียวและช่วงโอเวอร์แฮงค์หน้าที่สั้น  โป่งซุ้มล้อขนาดใหญ่พร้อมด้วยล้ออัลลอยลายซี่ของ AMG โดยคู่หน้าใช้ขนาด 19 นิ้ว สวมยาง 265/35 ZR19 ส่วนคู่หลังใช้ขนาด 20 นิ้ว สวมยาง 295/30 ZR20 ให้ความสปอร์ตลงตัว และถ่ายทอดแรงบิดลงสู่พื้นถนนได้อย่างเต็มสมรรถนะNormalFile_0078 NormalFile_0098 NormalFile_00761

Mercedes-AMG GT S ออกแบบส่วนท้ายในสไตล์ฟาสต์แบ็คหรือที่เรียกว่าหลังคาลาดลงไปพร้อมเสา C – pillar ที่โดดเด่นทำมุมเทลาดต่อเชื่อมกับด้านท้าย พร้อมด้วยหลังคาที่ต่ำ ไฟท้ายแบบ LED  กันชนหลังทรงสปอร์ต

พร้อมท่อไอเสียคู่ และสปอยเลอร์หลังจะถูกซ่อนเอาไว้และจะทำงานโดยอัตโนมัติเมื่อใช้ความเร็วเกินกว่า 120 กม./ชม. และสามารถสั่งงานแบบแมนนวลด้วยปุ่มควบคุมที่อยู่เหนือกระจกมองหลัง ด้านมิติตัวรถของ Mercedes-AMG GT S มีความยาว 4,546 มม. กว้าง 1,939 มม. สูงเพียงแค่ 1,288 มม. ระยะฐานล้อ 2,630 มม. น้ำหนักรวมประมาณ 1,890 กิโลกรัม นอกจากนั้น Mercedes-AMG GT มีการกระจายน้ำหนักของตัวรถที่เหมาะสม ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งเรื่องสำคัญในการออกแบบซูเปอร์คาร์ ในการปรับสมดุลของน้ำหนักของตัวรถ โดยมีการกระจายน้ำหนักด้านหลังในสัดส่วน 47 : 53 ระหว่างเพลาหน้าและเพลาหลังด้วยรูปแบบการวางตำแหน่งเพลาส่งกำลัง แม้ด้านหน้าจะมีความยาวค่อนข้างมาก แต่ส่วนของเครื่องยนต์ร่นมาอยู่กลางลำตัวรถ เพื่อการลดน้ำหนักกดลงในส่วนหน้ามาเกินไป NormalFile_0071 NormalFile_0064NormalFile_0088 NormalFile_0073

Mercedes-AMG GT S ติดตั้งเครื่องยนต์สมรรถนะสูงจาก AMG  ด้วยเครื่องยนต์ AMG V8 twin-turbo ความจุ 4.0 ลิตร กับพละกำลังแรงม้าสูงสุด 510 แรงม้า (375 กิโลวัตต์) ที่ 6,250 รอบ และแรงบิด 650 นิวตันเมตร ที่ 1,750-4,750 พร้อมเชื่อมต่อกับระบบส่งกำลังแบบคลัตช์คู่บนเพลาหลังด้วยเพลาขับคาร์บอนไฟเบอร์น้ำหนักเบาความแข็งแรงทนทานสูงเป็นพิเศษ โดยออกแบบให้เครื่องยนต์ถูกวางต่ำลงไปในโครงสร้างอะลูมิเนียมสเปซเฟรม โดยมีคุณสมบัติพิเศษ คือ การใช้ DRY SUMP 


ระบบนี้ใต้ห้องข้อเหวี่ยงจะไม่มีอ่างน้ำมันเครื่องเหมือนรถทั่วไป ใต้ข้อเหวี่ยงจะแห้งไม่มีน้ำมัน เนื่องจากจะมีปั้มน้ำมันเครื่องดูดน้ำมันที่ไหลลงมาจากเครื่องยนต์ไปเก็บไว้ที่ถังน้ำมันเครื่องนอกเครื่องยนต์แบบเดียวกับที่ใช้ในรถแข่งสมรรถนะสูง การจัดวางตำแหน่งนี้ช่วยให้มีจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำลง นอกจากนี้การหล่อลื่นของน้ำมันเครื่องยังเป็นไปอย่างต่อเนื่องไม่ขาดตอน แม้ในขณะที่เข้าโค้งด้วยความเร็วสูง หรือการเคลื่อนที่บนเส้นทางลาดชันอีกด้วย นอกจากนี้เครื่องยนต์ AMG ทุกเครื่องจะผลิตขึ้นด้วยมือตามหลักการ “หนึ่งเครื่องยนต์ต่อช่าง 1 คน” ช่างเครื่องที่เชี่ยวชาญเป็นพิเศษ 1 คน ทำหน้าที่ประกอบเครื่องยนต์หนึ่งเครื่องในทุกๆ ขั้นตอน ตั้งแต่การประกอบติดตั้งเพลาข้อเหวี่ยงเข้ากับเสื้อสูบไปจนถึงการวางสายไฟและการเติมน้ำมันเครื่อง และเมื่อขั้นตอนทั้งหมดเสร็จสิ้นลายเซ็นของช่างคนนั้นจะถูกกำกับไว้ที่เครื่องยนต์ที่เขาประกอบ เพื่อแสดงถึงความภาคภูมิใจและความรับผิดชอบกับผลงานชิ้นเยี่ยมของเขาNormalFile_0051 NormalFile_0054 NormalFile_00661

 

ภายในห้องโดยสารของ Mercedes-AMG GT S ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในห้องนักบิน มีปุ่มมากมายให้คุณได้ตื่นตาตื่นใจ เบาะที่นั่งทรงสปอร์ตก็คงเป็นอีกจุดที่ทำให้มันดูพิเศษกับเบาะทรงบัคเก็ตซีท มีรูสองรูสำหรับรัดเข็มขัดแบบสี่จุดได้  ที่มีการเย็บตะเข็บด้วยด้ายสีเหลืองเข้ากับตัวรถ พร้อมโลโก้ AMG กลางเบาะ ที่อยู่บนหนังแถวกลางแบบอาคันทาร่า  เมื่อนั่งลงบนเบาะนั่งแบบสปอร์ตของ AMG ที่โอบกระชับอย่างดีจากโครงสร้างปีกรองรับด้านข้างที่ค่อนข้างแข็งปรับได้ด้วยไฟฟ้า พนักพิงศีรษะที่รวมอยู่ในโครงสร้างเดียวกัน พวงมาลัย AMG Performance หุ้มหนัง nappa สีดำ พร้อมแป้นปรับเปลี่ยนเกียร์อะลูมิเนียมสีเงิน  และชุดแผงหน้าปัด AMG ที่แสดงค่าข้อมูลต่างๆได้อย่างครบถ้วน  โดดเด่นด้วยลายคาร์บอนไฟเบอร์ที่ให้ความสปอร์ตดุดันในแบบ AMG

คอนโซลกลางขนาดใหญ่ที่วางตำแหน่งต่อเนื่องลงมาจากกลางแผงคอนโซลหน้า ถ้าเป็นส่วนสำคัญเพราะเป็นที่รวมด้านเทคนิค สำหรับชุด AMG DRIVE UNIT ปุ่มควบคุมต่างๆ จัดเรียงตำแหน่งเหมือนกับลูกสูบของเครื่องยนต์ V8 ประกอบด้วยปุ่มคอนโทรลเลอร์ AMG DYNAMIC SELECT สำหรับเลือกโปรแกรมการขับขี่  ปุ่มควบคุมสำหรับปรับโช๊คอัพของระบบกันสะเทือนแบบสปอร์ต  อีกด้านจะมีปุ่มควบคุมเครื่องเสียง  ปุ่มเปิด-ปิดระบบ ECO Start/Stop และปุ่มปรับเสียงท่อไอเสียแบบสปอร์ต

ระบบ COMAND Online สามารถควบคุมระบบต่างๆ ผ่านแป้นสัมผัสได้อย่างสะดวกและง่ายดาย ที่มาพร้อมจอดิสเพลย์สีขนาด 21.3 ซม. แสดงข้อมูลต่างๆได้อย่างชัดเจน ทั้งยังติดตั้งระบบเสียงชั้นดีระดับไฮ – เอนด์ จาก Burmerster มาเป็นมาตราฐาน

Mercedes-AMG GT S ยังมาพร้อมระบบส่งกำลังแบบสปอร์ต AMG SPEEDSHIFT DCT แบบ 7 สปีด  ระบบคลัตช์คู่ให้การปรับเปลี่ยนเกียร์ที่รวดเร็วแม่นยำ และมีโหมดการขับขี่ให้เลือกตามความต้องการได้แก่

โหมด C หรือ Comfort จะใช้ในการขับขี่ทั่วไปที่ไม่เร่งรีบ เน้นการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยการทำงานของระบบ ECO Start/Stop

โหมด S หรือ Sport จะสามารถลากรอบเพิ่มอีกนิดจึงสามารถให้อัตราเร่งที่ดีขึ้น รวมถึงระบบช่วงล่างจะปรับแข็งขึ้น พวงมาลัยจะหนืดมือขึ้นเล็กน้อย และระบบ ECO Start/Stop จะไม่ทำงาน

โหมด S+ หรือ Sport+ จะเปลี่ยนเกียร์เร็วขึ้น ให้อัตราเร่งที่ทันใจ ระบบช่วงล่างจะปรับแข็ง พวงมาลัยจะหนืดมือขึ้นอีก ทั้งเพิ่มความเร้าใจด้วยท่อไอเสียในโหมดเสียงดังแบบรถแข่ง และระบบ ECO Start/Stop จะไม่ทำงาน

โหมด RACE เน้นการขับขี่แบบสปอร์ตให้อารมณ์แบบในสนามแข่ง โดยจะให้อัตราเร่งที่รวดเร็ว การเปลี่ยนเกียร์สัมผัสถึงแรงดึงของแต่ละเกียร์ เสียงท่อไอเสีย  ระบบช่วงล่างและพวงมาลัยจะถูกปรับแบบโหมด Sport+ โดยในโหมดนี้ระบบช่วยการขับขี่จะลดการทำงานลงเพื่อให้ผู้ขับขี่ได้สัมผัสพละกำลังกันแบบเต็มๆ

โหมด I หรือ Individual ผู้ขับขี่สามารถเลือกปรับตั้งทั้งการขับขี่ อัตราเร่ง ระบบช่วงล่าง และพวงมาลัย รวมถึงเสียงท่อไอเสียได้ตMercedes-AMG GT S ยังมาพร้อมกับเฟืองท้ายลิมิเต็ด-สลิป ของ AMG ใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ควบคุมการทำงานสามารถปรับตั้งระดับการล็อกได้ในเวลาเพียงเสี้ยววินาทีที่ช่วยเพิ่มพละกำลังในการขับเคลื่อน และยังช่วยให้การขับขี่ทำได้ดีขึ้นอีกด้วย

ระบบกันสะเทือนของ Mercedes-AMG GT S ด้านหน้าเป็นแบบ ปีกนกคู่ ด้านหลังเป็นแบบMulti-Link พร้อมระบบโช้คอัพสามารถปรับความแข็งตามโหมดการขับขี่ หรือเลือกปรับแบบเองได้ที่ปุ่มบริเวณคอนโซลเกียร์  ส่วนระบบเบรกเป็นแบบคอมโพสิตสมรรถนะสูงของ AMG ด้วยจานดิสก์เบรกขนาดใหญ่แบบมีช่องและรูระบายความร้อน  จานเบรกด้านหน้าใช้ขนาด 390×36 มม. จานเบรกหลังใช้ขนาด 360×26 มม. ซึ่งเอาไว้สยบฝูงม้ากว่า 500 ตัวของรถคันนี้NormalFile_0139NormalFile_0122  NormalFile_0117 NormalFile_0109

หลังจากที่กล่าวถึงคุณสมบัติต่างไปแล้วก็มาถึงการทดสอบ หลังจากที่เราได้มีโอกาสสัมผัส Mercedes-AMG GT S ในครั้งแรก ก็ค่อนข้างยอมรับว่าเกรงๆ อยู่เหมือนกัน แม้เราจะมีโอกาสได้ยืมรถที่มีค่าตัวเกือบ 10 ล้านบาทมาบ้าง แต่ก็คงไม่น่าประทับใจเท่ากับการได้ขับซูเปอร์คาร์คันนี้แบบ 4 วันเต็มๆ เมื่อเข้ามาในรถการปรับเบาะดูงง เพราะโดยปรกติจะอยู่ตรงประตู แต่ของ Mercedes-AMG GT S จะอยู่ข้างเบาะคนขับแต่ตำแหน่งปุ่มจะค่อนข้างลึก หลังจากปรับเบาะให้ลงตัวกับผู้ขับขี่ เสียงสตาร์ทรถทำเอาเราประทับใจมาก มันเป็นเสียงที่หนักแน่นและดุดันทัศนวิศัย

ในด้านหน้าต้องบอกเลยว่าอาจจะลำบากสำหรับคนตัวเล็กเพราะขนาดสูงกว่า 180 ซม. ยังมองหน้ารถค่อนข้างลำบาก อาจเป็นเราะด้านหน้าที่ค่อนข้างยาวกว่ารถทั่วไป ส่วนด้านท้ายก็มีกระจกขนาดเล็ก ทำให้การถอยจอดอาจจะไม่สะดวกนั่ง แต่ก็มีเซ็นเซอร์กะระยะคอยบอกให้ การเข้าออกในห้องโดยสารทำได้ค่อนข้างยากตามสไตล์ของรถซูเปอร์คาร์

จากความเตี้ยของตัวรถ รวมถึงขอบประตูที่ค่อนข้างสูงทำให้เวลาก้าวขาเข้าออกจะไม่ค่อยสะดวกนัก แต่ก็จะแลกมาด้วยมุมมองที่ต่ำแทบจะเป็นระนาบเดียวกับพื้น เราใช้เวลาปรับตัวอยู่พักใหญ่มากๆ  ในการกะระยะของตัวรถ พอเริ่มชินกับรถ เราจึงได้มีโอกาสทดสอบสมรรถนะในส่วนอื่นๆ ต่อๆไป การเดินทางของเราค่อนข้างจะมีรถมากเพราะเนื่องจากเป็นวันเสาร์-อาทิตย์ เราขับขี่ในโหมด C หรือ Comfort ระบบ ECO Start/Stop จะทำงานดับเครื่องให้ แต่ระบบแอร์และอื่นๆยังทำงานตามปรกติและเมื่อเราปล่อยเท้าจากแป้นเบรกเครื่องยนต์ก็จะติดพร้อมขับเคลื่อนต่อไปได้ทันที ซึ่งในโหมดนี้ก็เหลือเฟือในการขับขี่ ด้วยพละกำลังจากเครื่องยนต์ AMG เทอร์โบคู่  500 กว่าแรงม้า แรงบิด 650 นิวตันเมตร ที่สามารถเรียกใช้งานได้ทันที เพียงกดคันเร่งลงไปอีกหน่อย ตัวรถก็พร้อมจะทะยาน ไปอย่างเร็วรวด โดยเฉพาะเมื่อกดคันเร่งเต็มที่อาการหลังติดเบาะ ก็มีมาอย่างต่อเนื่องเป็นลูกๆ ตามการเปลี่ยนของเกียร์ แถมอาการสะบัดเล็กน้อยให้เห็นถ้าพื้นถนนไม่ใช้คอนกรีต และที่สำคัญเวลาขับเปลี่ยนเลนไม่ควรกดคันเร่งเต็มทีเพราะรถแทบจะมีอาการท้ายปัดเล็กน้อย อาจจะทำให้ผู้ที่ไม่คุ้นเคยตกใจได้

NormalFile_0128 NormalFile_0123 NormalFile_0131

ถนนบางช่วงที่เราทดสอบนั่นอาจจะขุรขระพอสมควร เราได้ลองปรับโหมด I หรือ Individual ซึ่งเราสามารถจะเลือกการจัดการในระบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์ ช่วงล่าง เสียงท่อไอเสีย ได้ ตามใจผู้ขับขี่ เราปรับช่วงล่างให้เป็น Sport ทำให้การขับขี่บนพื้นผิวขุรขระนั่นดียิ่งขึ้นและรองรับกับความเร็วสูงๆ ได้ดีขึ้นอีกด้วย แต่ถ้าคุณต้องการปรับระบบการขับขี่ด้วยโหมด S หรือ Sport และโหมด S+ หรือ Sport+ การปรับเปลี่ยนพละกำลังของเครื่องยนต์ AMG ก็สามารถปรับเปลี่ยนสมรรถนะได้อย่างรวดเร็ว และยังปรับความหนืดของพวงมาลัยตามความเร็วที่ขับขี่ พร้อมระบบช่วงล่างจะปรับแข็งขึ้นทำให้การขับขี่เกาะถนนได้อย่างความมั่นใจ และที่สำคัญเสียงท่อไอเสียจะเปลี่ยนไปตามโหมดต่างๆ ซึ่งบ่งบอกถึงความดุดันที่ซ่อนเร้นอยู่ ในทุกโหมดเราสามารถทำความเร็ว 200 กม./ชม. ได้ไม่ยากโดยเวลาเพียงชั่วอึดใจ เราได้มีโอกาสลองในโหมด Sport ซึ่งไม่ใช่โหมดที่ดุดันที่สุดของ Mercedes-AMG GT S เพราะเป็นจังหวะที่ไม่ได้ตั้งใจ เพราะพอเร่งแซงรถช้าขึ้นมาได้ ปรากฏถนนว่างมากเราจึงกดคันเร่งเต็มที่ เสียงเครื่องคำราญมากการด้านหลัง และแรงกดที่ยึดหลังเราให้ติดเบาะ ถูกส่งมาเป็นลูกๆ ตามเสียงเครื่องยนต์ที่คำรามออกมาอย่างดุดัน เมื่อสุดรอบจะมีเสียงแบคไฟร์ออกมา ให้ความรู้สึกเหมือนไปดูการแข่งขัน Supet GT ในสนามช้างที่บุรีรัมย์ แต่เปลี่ยนเป็นเราขับเอง อย่างที่บอกว่าไม่ได้ตั้งใจในการทดสอบความเร็วปลายเช่นนี้ จึงไม่ได้มีการเซทในโหมดของช่วงล่างทำให้มีอาการร่อนเล็กน้อยบวกกับความเร็วที่หลังเหลือบมอง 270  กม./ชม. ที่วัตถุที่เราเห็นข้างหน้ามาเข้ามาเร็วในชั่วพริบตา ก่อนที่เราจะยกคันเร่งออก และค่อยกับมาใช้ความเร็วปรกติ โดยทาง Mercedes-Benz ได้เคลมความเร็วสูงสุดไว้ที่ 310 กม./ชม. ซึ่งถ้าโหมดต่างๆอยู่ในสภาพพร้อมน่าจะแตะ 300 กม./ชม. ได้ไม่ยากจนเกินไปNormalFile_00462

สำหรับโหมด RACE นั้นเป็นโหมดที่ดุดันที่สุด แต่ก็ต้องใช้ทักษะการควบคุมรถ และความระมัดระวังในการขับขี่ พละกำลังที่เน้นการขับขี่แบบสปอร์ตให้อารมณ์แบบในสนามแข่ง โดยจะให้อัตราเร่งที่รวดเร็ว เพราะระบบนี้จะตัดระบบช่วงในการควบคุมรถออกไป ทำให้เหมือนขับรถดิบๆ นั่นเอง การเปลี่ยนเกียร์สัมผัสถึงแรงดึงของแต่ละเกียร์ เสียงท่อไอเสียที่ให้อารมณ์โดยเฉพาะช่วงลดเกียร์หรือเปลี่ยนเพิ่มเกียร์ (เสียงแบบในสนามแข่งกันเลยทีเดียว)  ระบบช่วงล่างและพวงมาลัยจะถูกปรับแบบโหมด Sport+  ได้มีโอกาสบ่อยไหลรถแล้วปรับโหมด RACE ที่ความเร็วประมาณ 30 กม./ชม. แล้วกระแทกคันเร่งสุดแรง เสียงยางร้องจากการปั่นอยู่กับที่พร้อมแรงดึงอันดุดัน กับอาการตูดส่ายออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน เรายกเท้าออกจากคันเร่งตัวรถก็กลับไปอยู่ในสภาพปรกติ และกดซ้ำลงไป อาการเดิมก็กลับมาอีก เราก็ยกก็เพียงพอที่จะสัมผัสพละกำลังอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยแล้ว ซึ่งจากการขับขี่ในโหมดนี้อาจจะไม่เหมาะกับบนท้องถนนเพราะท้ายรถอาจจะไปสะกิดรถคันอื่นได้โดยไม่ตั้งใจ จากการกระแทกคันเร่ง แต่ก็เป็นโหมดที่ดุและดิบที่สุดในการทดสอบรถที่เคยผ่านมือมา

ด้านความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงนั้น  การขับขี่ใช้งานในเมืองสภาพการจราจรหนาแน่นในกรุงเทพฯ กับเครื่องยนต์ V8 เทอร์โบคู่คงไม่ต้องคิดถึงตัวเลขที่ได้ แต่ถ้าขับขี่ในเส้นทางรอบนอกเมืองหรือเดินทางไกลก็พอจะเห็นตัวเลขอยู่ที่ 8-9 กิโลลิตร โดยความเร็ว 100 กม./ชม. ใช้รอบเครื่องแค่ประมาณ 1,800 รอบเท่านั้น  ส่วนอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ 3.8 วินาทีตามสเปกที่ทางบริษัท Mercedes-Benz แจ้งมา ซึ่งความเร็วที่กล่าวๆ มาระบบเบรกแบบคอมโพสิตสมรรถนะสูงของ AMG ที่สามารถชลอหยุดความเร็วของซูเปอร์คาร์เครื่องยนต์ AMG V8 เทอร์โบคู่ได้อย่างมั่นใจสั่งได้ในทุกรอบความเร็ว ซึ่งถ้าเบรกแบบนี้เอาไม่อยู่ก็คงไม่มีเบรกที่คู่ควรอีกแล้ว

NormalFile_0142

แต่ข้อด้อยอีกข้อหนึ่งคือการมาจอดรถค่อนข้างใช้พื้นที่ในการเปิดประตูมาก เพราะประตูจะกลางกว้างมาก ทำให้ถ้าไม่ใช่ที่จอดเฉพาะอาจจะทำให้ขึ้นลงรถลำบากแถบอาจจะมีโอกาสเปิด-ปิดประตูกระแทกรถข้างๆ ได้สูงทีเดียว แต่ในทางกลับกันคุณอาจได้รับการตอบรับเป็นพิเศษจากสถานที่นั่น และที่จอดรถแบบ VIP ที่เป็นสิทธิพิเศษเมื่อคุณกล้าเป็นเจ้าของรถแบบนี้

Mercedes-AMG GT S นับเป็นยนตกรรมในการออกแบบที่สวยงามและมีมนต์สเน่ห์และยังสร้างภาพลักษณ์ให้กับผู้ขับขี่  เพราะทุกเส้นทางที่เราผ่านหรือจอดได้รับความสนใจจากผู้คนรอบข้างตลอด แถมยังได้รับสิทธิพิเศษหลายอย่างในการขับขี่รถคันนี้ Mercedes-AMG GT S ไม่ช่ายเพียงแค่ยานยนต์ แต่มันคือการยอมรับในสังคมถึงฐานะและความหรูหราจากคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเก่าเพียงใดแต่ Mercedes-Benz ยังคงเป็น Mercedes-Benz อยู่วันยังค่ำ ซึ่ง Mercedes-AMG GT S อาจจะไม่ใช่ซูเปอร์คาร์ที่ปราดเปรียว เหมือนแบรนด์อื่นๆ แต่มันคือซูเปอร์คาร์สุดหรูที่ไปไหนใครก็จะรู้จักว่ามันคือรถอะไร แล้วถ้าคิดว่ารถคันนร้เป็นแค่ของประดับอาจจะต้องคิดใหม่ เพราะเคี้ยวเล็บของมันมากพอที่จะท้าทายคู่แข่งบนท้องถนนได้ทุกรูปแบบ Mercedes-AMG GT S จึงเป็นอะไรที่ตอบโจทย์ให้เจ้าของรถได้ในทุกแง่มุมจริงๆ

NormalFile_0141NormalFile_0040

Specification

Mercedes-AMG GTS

Price:                14,900,000 BHT 

Engine:              3,980 CC Twin Turbo Premium Unleaded V-8, 

                          510 hp @ 6,250 rpm, 650 Nm @ 1,750-4,750 rpm

Transmission :    AMG SPEEDSHIFT DCT 7 Speed , Rear-Wheel Drive

Weight   :         1,600 Kg.

 

Check Also

Kia EV5 Earth Exclusive AWD 2024

รีวิว ลองขับ Kia EV5 Earth Exclusive AWD รถไฟฟ้าจากเกาหลี ที่เติมอรรถประโยชน์ในการใช้งานที่คุ้มค่า

รีวิว ลองขับ Kia EV5 Earth Exclusive AWD มอเตอร์ไฟฟ้าคู่ ขับเคลื่อนสี่ล้อ ให้กำลังสูงสุด 230 แรงม้า แรงบิด 480 นิวตัน-เมตร …

Leave a Reply